วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

Used to / Would

used to 
             แปลว่า เคยทำในอดีตแต่ปัจจุบันไม่ได้ทำแล้วครับ
โครงสร้างประโยคคือ used to + infinitive
ตัวอย่างนะครับ
When I was a postman , I used to walk miles every day.
ตอนฉันเป็นบุรุษไปรษณีย์นะ ฉันเคยเดินเป็นระยะทางหลายๆไมล์ทุกวัน

We used to play that game when we were young.
เราเคยเล่นเกมนั้นตอนเรายังเด็ก

used to smoke , but I have been giving it up for ten years.
ฉันเคยสูบบุหรี่นะ แต่เลิกได้เป็นสิบปีแล้ว
 .........................................................................................................................................................................................
แถมการใช้ be หรือ get used to  ครับ แปลว่าชิน หรือคุ้นเคยกับการทำบางสิ่ง
โครงสร้างมีดังนี้ครับ
be หรือ get + used to + กริยาเติม ing  หรือ คำนาม
มาดูตัวอย่างกันครับ
I am a postman, I am / get used to walking. I can walk miles.
ฉันเป็นบุรุษไปรษณีย์ ฉันชินกับการเดินแล้วล่ะ ฉันสามารถเดินเป็นไมล์ๆเลย

We’re used to getting up early. We do it every day.
เราชินกับการตื่นแต่เช้า เราทำแบบนี้ทุกวัน

She gets used to living alone.
หล่อนชินกับการอยู่คนเดียว

He was / got used to helping his neibours.
เขาคุ้นเคยกับการช่วยเหลือเพื่อนบ้าน (ช่วยเป็นประจำ)

We aren’t used to cooking.
เราไม่คุ้นเคยกับการทำอาหาร


Would 

          เป็นรูปอดีตของ will นะครับ แปลว่า จะ มีวิธีใช้ ดังนี้ครับ

1. ใช้ would เป็นรูปอดีตของ will ในประโยค Indirect Speech เช่น
Warmy said : ‘ The university will be closed on Monday.’
Warmy said that the university would be closed on Monday.

วอร์มมี่พูดว่า มหาวิทยาลัยจะปิดในวันจันทร์

She said : ‘ I will not study here any more.’
She said that she would not study here any more.
หล่อนพูดว่าหล่อนจะไม่เรียนที่นี่อีกต่อไป แล้ว

2. ใช้ would เพื่อแสดงความตั้งใจ หรือการกำหนดครับ เช่น

Warmy said he would visit his friends.
วอร์มมี่พูดว่า เขาจะไปเยี่ยมเพื่อนของเขา (ความตั้งใจ)

Warmy said he would try his best to help you.
วอร์มมี่พูดว่าจะพยายามช่วยคุณเต็มที่เลย (ความตั้งใจ)

Warmy would have his own way.
วอร์มมี่มีทางเดินเป็นของตนเอง (การกำหนด)

Warmy would apply for this position.
วอร์มมี่จะสมัครงานในตำแหน่งนี้ (การกำหนด)

3. ใช้ would เพื่อแสดงการกระทำเป็นประจำในอดีต หรือนิสัยในอดีตอ่าครับ เช่น

Warmy would sit there and write her note book.
วอร์มมี่มักจะนั่งที่ตรงนั้นแล้วเขียนบันท ึก

After lunch the students would sit in the classroom and chat for a while.
หลังทานอาหารเที่ยงแล้วนักเรียนกลุ่มนี้มั กจะนั่งในห้องเรียนแล้วคุยกันครู่หนึ่ง

Warmy would return home and watch TV daily.
วอรืมมี่มักจะกลับบ้านแล้วดูรายการทีวีทุก วัน

4. ใช้ would และ would like เพื่อเป็นการแสดงความประสงค์ครับ เช่น

Warmy would know what his duty is.
วอร์มมี่อยากรู้ว่างานของเขาคืออะไร

would like to see it later.
ผมจะดูภายหลังแล้วกัน

He would like to read the book first.
เขาต้องการอ่านหนังสือเป็นอันดับแรก

5. ใช้ would rather เพื่อแสดงทางเลือก หรือการชอบมากกว่าครับ เช่น

would rather die than marry him.
ให้ฉันตายดีกว่าแต่งงานกับเขา

Warmy would rather go out than stay at home.
ให้วอร์มมี่ไปข้างนอกดีกว่าให้อยู่บ้าน

6. ใช้ would เพื่อเป็นการถามคำถามแบบสุภาพครับ (polite questions) เช่น

Would you like a cup of tea?
รับชาสักถ้วยไหมครับ

Would you mind lending me your car for an hour?
คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะขอยืมรถของคุณส ักชั่วโมง

Would you mind typing the letter for me?
คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะขอให้พิมพ์จดหม ายให้สักฉบับ

7. ใช้ would ในประโยคหลัก ซึ่งวางอยู่หน้าหรือหลังประโยครอง  เพื่อเป็นการแสดงเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ค รับ เช่น

If Warmy studied hard, he would pass the test.
ถ้าวอร์มมี่เรียนหนักเขาคงสอบผ่านแล้ว

If I were a poet. I would express my feelings to you.
ถ้าฉันเป็นนักประพันธ์ ฉันคงอธิบายความรู้สึกของฉันให้เธอรู้แล้ว

Warmy would be punished if he wrote on the wall.
วอร์มมี่จะถูกลงโทษ ถ้าเขาเขียนบนกำแพง

8. ใช้ would วางไว้หลัง wish เพื่อแสดงความตั้งใจครับ เช่น

I wish I would know his address.
ผมหวังว่าจะรู้ที่อยู่ของเขา

Warmy wish he would visit Pai.
วอร์มมี่หวังว่าจะได้ไปเที่ยวปาย

การใช้ Should


การใช้  Should


 

การใช้ Should

A.         Should infinitive (should do should watch ฯลฯ) ดังนี้
            I/we/you/they/he/she/it             should                         do/stop/go/watch ฯลฯ                                                             

                                              shouldn’t
B.                  (Youshould do something = (คุณ)ควรทำอะไรบางอย่าง (= เป็นสิ่งดีหรือถูกต้องที่จะทำ)
เช่น  -     Tom should go to bed earlier. He goes to bed very late and he’s always tired.
-          It’s good film. You should go and see it.  …คุณควรไปดูนะ
C.         (You) shouldn’t do something = (คุณ)ไม่ควรทำอะไรบางอย่าง shouldn’t = should not เช่น  -         Tom shouldn’t go to bed so late. Tom ไม่ควรนอนดึก
-          You watch TV all the time. You shouldn’t watch TV so much.  …คุณไม่ควรดู
D.         เรามักใช้ think กับ should เช่น   
            I think  should … :
-          I think Kanda should buy some new clothes.
ฉันคิดว่ากานดาควรซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ บ้าง
-          A: Shall I buy this dress?
B: Yes, I think you should.
            I don’t think  … should … :
-          don’t think you should work so hard.
ฉันไม่คิดว่าคุณควรทำงานหนักมากนัก
-          don’t think we should go yet. It’s to early.
Do you think … should … ?.
-          Do you think I should buy this hat?
-          What time do you think we should go home?
E.                  Must มีความหมายในเชิงแนะนำที่มีน้ำหนักกว่า should เช่น
-          It’s a good film. You should go and see it. หนังดีนะ คุณควรไปดู
-          It’s a fantastic film. You must go and see it. หนังเยี่ยมมาก คุณต้องไปดู
F.                  อีกคำหนึ่งที่ใช้ในความหมายเดียวกับ should … คือ ought to … เช่น
-          It’s a good film. You ought to go and see it. (= you should go)
-          I think Kanda ought to buy some new clothes. (=Kanda should buy)


Must กับ Have to


การเลือกใช้ ระหว่าง must กับ have to
Must หรือ have to

การใช้ must
1.must เป็นการสั่งความจำเป็นมาจากบุคคลที่กำลังพูดหรือกำลังฟัง เช่น

I must go home now. It's going to rain soon.
2.must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจ เช่น
      The boy keeps crying. He must be really sick.
3.Must สามารถใช้บอกความจำเป็นสำหรับเหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคต แต่จะไม่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และจากที่ must ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย ทำให้สามารถใช้ Must มาขึ้นหน้าประโยคเพื่อตั้งเป็นประโยคคำถามได้เลย เช่น
        I must finish this work before I leave.
        Must you work so hard?
Must she go there before midnight?
4. must จะแปลว่าต้องทำเป็นหน้าที่หรือข้อบังคับ เช่น
      The soldiers must protect the country
5.must จะใช้กับปัจจุบันกาลอย่างเดียวเท่านั้น
ถ้าเป็นอดีตจะใช้ had to
และถ้าเป็นอนาคตจะใช้ will, shall + have to
6.เมื่อ จะใช้ must ในรูปประโยคปฏิเสธ ก็สามารถเติม not เข้าไปได้เลย ในกรณีนี้จะมีความหมายว่า ห้ามกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเด็ดขาด หรือทำแล้วอาจเกิดผลร้ายตามมา
mustn’t แปลว่า “ต้องไม่ “
7. mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
    You mustn't tell anyone. มีความหมายว่า (Don't tell anyone.)
8.กรณีจะกล่าวเรื่องราวในอดีต เรามักไม่ใช้ must แต่จะไช้ had to แทน
9. (modals) + have + V.3 สามารถใช้หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดในอดีต (ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แล้ว บางที่จะเป็นการสมมติ) ที่สามารถใช้ร่วมกับ Modal verbs ได้หลายตัว


การใช้have to
1.have to พูดถึงความจำเป็นที่มาจากภายนอก บางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย กฏระเบียบหรือเป็นข้อตกลงเช่น
You have to take off your shoes before going inside the temple.
2. have to ใช้กับกฏเกณ์หน้าที่และใช้กับพวกข้อบังคับ ที่ทำให้เราจำเป็นต้องทำ ตามกฎเกณ์ของสังคม เช่น
“ when you go to the theater you have to off your mobile เวลาคุณเข้าไปดูหนังในโรงภายนตร์คุณต้องปิดมือถือ (บางครั้งคุณอาจจะลืมปิดหรือตั้งใจไมปิด มือถือ ซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย แต่ในทางกฎ เกณฑ์ทางสังคึมนั้นคุณต้องปิด ถือเป็นมารยาททางสังคม (มีสังคมเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำ)
3. have to ถ้าทำเป็นปฏิเสธหรือคำถามต้องใช้ Verb to do เข้าช่วย
         - You do not have to buy a new bycicle.
         - Do you have to buy a new car?

การใช้ Used to


Used  to
Used to ถ้าตามด้วย กริยาช่องที่ 1 แปลว่า เคย (มีความหมายเป็นอดีต)
เช่น




I used to eat a lot .
ฉันเคยกินมาก




He used to teach me.
ตาเคยสอนฉัน


They used to fight to each other.
พวกเขาเคยตีกัน



Susan used to be a mailwoman.
ซูซานเคยส่งจดหมาย


Mary used to play games everyday.
แมรี่เคยเล่นเกมส์ทุกวัน


แต่ถ้าใช้ verb to be (is,am,are) กับ used to แล้วตามด้วย คำนาม หรือ กริยาเติม ing
จะแปลว่า "ชิน ,คุ้นเคย"

จะใช้ is หรือ am หรือ are ขึ้นอยู่กับประธาน หรืออาจใช้ get , become ก็ได้ เช่น




They get used to getting on the bus.
พวกเขาชินกับการขึ้นรถเมล์





The teacher is used to cold weather.

ครูชินกับอากาศเย็น




He is getting used to this dog.
เขากำลังคุ้นกับเจ้าสุนัขตัวนี้

I'm getting used to getting up early.
ผมกำลังชินกับการตื่นเช้า


Did you use to learn with me?
หนูเคยเรียนกับครูหรือเปล่า

Tense


Tense จริงๆแล้วมีเท่าไหร่

ถ้า Tense หมายถึงโครงสร้างของประโยค ภาษาอังกฤษ มี 12 รูปแบบ (Active Voice ประธานเป็นผู้กระทำ) และ 12 รูปแบบ (Passive Voice ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ) รวมเป็น 24 รูปแบบ  โอ้ตายแล้ว เยอะจัง เยอะสิครับ คนเลยคิดว่ามันยาก แล้วไม่ค่อยศึกษากันอย่างจริงจัง
ก่อนอื่นให้เรียนเรื่อง Tense ที่เป็น Active Voice ให้เข้าใจก่อนไปตามลำดับ เหมือนกับที่เราหัดอ่าน ก ไก่ ข ไข่ นั้นแหละ

อะไรคือความแตกต่างของแต่ละ Tense

สิงที่แตกต่างชัดเจนคือ กริยา

คำแปลของ Tense

คำแปลของแต่ละ Tense ต่อไปนี้ เมื่อนำมาแปลเป็นไทยจริงๆ จะต้องเกลาให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปใช้กันนะครับ แต่ที่แปลแบบนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพแค่นั้นเอง

โครงสร้างของ Tense 12

ปัจจุบัน
  • Present Simple
    eat. กิน
  • Present Continuous
    am eating.  กำลังกิน
  • Present Perfect
    have eaten. กินแล้ว
  • Present Perfect Continuous
    have been eating. กินแล้ว (อย่างต่อเนื่อง)
อดีต
  • Past Simple
    ateได้กิน
  • Past Continuous
    was eating. ได้กำลังกิน
  • Past Perfect
    had eaten. ได้กินแล้ว
  • Past Perfect Continuous
    had been eating. ได้กินแล้ว (อย่างต่อเนื่อง)
อนาคต
  • Future Simple
    will eat. จะกิน
  • Future Continuous
    will be eating. จะกำลังกิน
  • Future Perfect
    will have eaten. จะกินแล้ว
  • Future Perfect Continuous
    will have been eating. จะกินแล้ว (อย่างต่อเนื่อง)

Verb of feeling

หลักการแปลคือน้องต้องรู้จักไวยากรณ์และประยุกต์ใช้มันเข้ากับประโยคได้ วันนี้พี่นุ้ยเลยอยากให้หลักแกรมม่่าเรื่องหนึ่งที่น้องน่าจะเอาไปประยุกต์ใช้ได้
มาจากประโยค You (p’nui) may surprise มันจะไม่ได้แปลว่าพี่นุ้ยอาจจะรู้สึกตกใจ แต่จะแปลว่าพี่นุ้ยอาจจะทำให้ใครๆตกใจ

เพราะ surprise มันเป็นกริยาพิเศษที่แสดงความรู้สึก กริยาพวกนี้ เช่น interest (ทำให้สนใจ) สังเกตุเวลาแปล พี่นุ้ยจะใส่คำว่า ทำให้ interest ไม่ได้แปลว่าสนใจ หรือรู้สึกสนใจ และยังมี excite (ทำให้ตื่นเต้น) amaze (ทำให้ตะลึง) bore (ทำให้เบื่อ) annoy ที่เค้าพูดกันว่า นอย (ทำให้หงุดหงิด รำคาญ)

กริยาพวกนี้มีสามรูป
คือ
1. ing ใช้ ing เป็นadj แปลว่า น่า เช่น น่าสนใจ
The papers are interesting (หนังสือพิมพ์น่าสนใจ)

2. ใช้เป็น v.3 แปลว่า รู้สึก เช่น รู้สึกสนใจ
The papers are interesting, so Loong Lung is interested in digging the papers.
ลุงลังเลยสนใจคุ้ยหา นสพ.

เห็นมั้ย verb to be บวกกริยาช่องที่ 3 นึกถึง passive voice ประโยคถูกกระทำเอากรรมวางข้างหน้า จริงๆจะแปลว่า ลุงลังถูกทำให้สนใจ แปลจากไทยเป็นไทย คือลุงลังรู้สึกสนใจนั่นเอง แต่คำพวกนี้มันจะมี preposition ของมัน อย่าง interested ไปกับ in / surprised กับ with, at / bored กับ with

2. ใช้เป็นกริยาไปเลย interest ทำให้สนใจ
The papers in trash cans always interest Loong Lung.
นสพ. ในถังขยะทำให้ลุงลังสนใจอยู่เสมอ

ฉะนั้นถ้าน้องจะบอกว่า พี่นุ้ยอาจจะรู้สึกประหลาดใจ ก็จะต้องเป็น P’Nui may be surprisedใ
ใช้เป็น adj หลัง verb to be ค่ะ

สรุป พี่นุ้ยจะมีสูตรง่ายๆให้จำว่า ถ้าเป็น verb of feeling

รู้สึก– to be ted v.3
น่า –to be ting
แต่ถ้า ทำให้ – ไม่ ting ไม่ ted วางกริยาผัน tense ได้เลย

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษให้ เก่ง


เคล็ดลับ การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ เก่ง

 
ลองอ่านดูนะ แล้วช่วยเพิ่มเติมวิธีการเรียนภาษาอังกฤษกันมา เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษกัน

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้ หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอน

ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคิอ ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน

ในปัจจุบันนี้ การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า คุณทราบภาษาอังกฤษ ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF, IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษา

ยิ่งกล่าวไปทำให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับ

หากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ

1. ไวยากรณ์ (Grammar)
2. ศัพท์ (Vocabulary)
3. การอ่าน (Reading)
4. การเขียน (Writing)
5. การฟัง (Listening)
6. การพูด (Speaking)

 ไวยากรณ์ (Grammar)
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ

การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย


การฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องและพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง
คำพูดที่ว่า "ทำอย่างไรให้ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง" หรือ "ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง” และ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง” เป็นคำพูดที่คนส่วนใหญ่พูดกัน ทั้งๆที่เรียนภาษาอังกฤษกันมาแล้วหลายปี
ยิ่ง ไปกว่านั้น  หลายคนยังต้องเสาะหาที่เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากที่ต้องเรียนในโรงเรียน  และบางคนผ่านการเรียนภาษาอังกฤษจากสถาบันสอนภาษาอังกฤษมาแล้วหลายสถาบัน  แต่ก็ยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ซักที  บางคนสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจดี หรือ บางคนทำคะแนนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ดี  แต่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะอะไร
สาเหตุที่สำคัญคือ  การฟังภาษาอังกฤษให้เก่ง   กล่าวคือเราต้องพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ก่อน และต้องฟังประโยคซ้ำๆ หลายๆรอบ จนขึ้นใจแล้วพูดตาม  ออกเสียงให้เหมือนที่สุด อาจไม่เข้าใจความหมาย  หรือคำแปล  ไม่เป็นไร ขอให้พูดภาษาอังกฤษออกมาให้ได้ก่อน
เมื่อเราพูดประโยคเหล่านั้นออกมาได้แล้ว   เราก็หลุดออกจากกับดักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้แล้ว  นั่นแปลว่าเราได้เข้าสู่วงจรของการที่จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างอัตโนมัติแล้ว  หลังจากนั้นจึงค่อยมาศึกษาคำแปลของประโยคเหล่านั้น  และเพิ่มประโยคภาษาอังกฤษให้มีสะสมในสมองมากขึ้น ลำดับต่อไปจึงฝึกพูดประโยคภาษาอังกฤษเหล่านั้นให้เร็วขึ้น  เราก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษแบบอัตโนมัติจากจิตใต้สำนึกโดยไม่ติดขัดอีกแล้ว
แล้วจึงมาฝึกหรือแก้ไขคำที่เรามักจะออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ถูกต้อง ไม่ชัด  ให้พูดได้ชัดเจนขึ้น  ตรงนี้อาจต้องอาศัยครูสอนภาษาอังกฤษที่เป็นเจ้าของภาษา เช่นชาวอังกฤษ หรือชาวอเมริกันมาช่วยสอน  เพื่อให้เรียนได้เร็วและมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น
ถ้าทำเช่นนี้ได้บ่อยๆก็จะสามารถ ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง และพูดภาษาอังกฤษเก่ง



Conjunction

คำเชื่่อมประโยค......
and(และ) 
ใช้เชื่อมข้อความคล้อยตาม กันสอดคล้องกันหรือเป็นไปทำนองเดียวกัน เช่น
We eat with fork and a spoon.
Tina and Tom are playing football.
or (หรือ)
ใช้เชื่อมข้อความเพื่อเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
Is your house big or small?
Would you like tea or coffee?
but (แต่) 
ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น
That house is beautiful but very expensive.
I can ride a bicycle but I can't ride a horse.
because(เพราะว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยbecauseจะนำหน้าประโยคที่เป็นสาเหตุ
I like my sister because she is pretty.
She can pass the exam because she studies hard.
so(ดังนั้น)
ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดยsoจำนำหน้าประโยคที่เป็นผล
Cathy eats a lot so she is fat.
My sister is pretty so I like her.
though/although(แม้ว่า)
ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน
Although he ran very fast, he didn't win the first prize.
either....or(เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใน2อย่าง)
ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ
ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น
Either you or he is wrong. 
You can get either this pen or that pencil.
neither .......nor(ไม่ทั้ง2อย่าง)
ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น
Neither I nor she speaks English.


Conjunction ถือเป็น Grammarตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ว่ามันทำหน้่าที่เป็นเพียงแค่ไวยากรณ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนได้เป็นอย่างดี 
และแล้ว Grammarman ก็หยิบยกเอามาเขียนอีกจนได้ ดีมั๊ยคะ 
เมื่อพูดถึงตัวเชื่อมแ่น่นอนต้องนึกถึง 2 แบบ 
1. การเชื่อมความ คือ การเชื่อม ประโยค กับ ประโยค 
2. การเชื่อมคำ คือ การเชื่อม ประโยคหรือคำ กับ คำ 
มาพูดถึงการเชื่อมทั้ง 2 แบบกันเลย 
การเลือกตัวเชื่อมมีหลายวิธีด้วยกัน อาจเลือกจากความหมายของประโยค เชื่อมเพื่อลำดับเวลา และ อะไรพรรค์นั้น (มันหมายความว่าไงเนี่ย) 
ตัวเชื่่อมประโยคที่เน้นความหมายแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น 
- ประโยคบอกความคล้อยตามกัน หรือ เสริมความเพิ่มเติม จะใช้ 
and (และ) 
besides (นอกจาก) 
as well as (และ , เช่นเดียวกันกับ) 
furthermore (ยิ่งไปกว่านั้น) 
both ... and (ทั้ง ... และ) 
not only ... but also (ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง) 
in addition (และ) 
moreover (ยิ่งไปกว่านั้น) 



- ประโยคบอกความขัดแย้ง จะใช้ 
although / though , even though , even if (ถึงแม้ว่า) 
however (อย่างไรก็ตาม) 
but (แต่) 
still (ยังคง) 
yet (แต่กระนั้น) 
nonetheless , nevertheless (แต่กระนั้นก็ตาม) 
no matter what (ไม่ว่าอะไรก็ตาม) 
no matter how (ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม) 
- ประโยคที่ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้ 
either...or (ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) , neither...nor (ไม่ทั้งคู่) 
- ประโยคบอกเหตุ ใช้ 
because , as , since , for (เพราะว่า , เนื่องจาก) 
- ประโยคบอกผล ใช้ 
so , therefore , thus , hence , thereby , accordingly , consequently (ดังนั้น) 
- ประโยคบอกวัตถุประสงค์ ใช้ 
in order that , so that (เพื่อที่ว่า) 





พวกที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นการเชื่อมความ คือ เชื่อมประโยคกับประโยค
มาดูการเชื่อม ประโยค กับ คำ หรือ กลุ่มคำ บ้าง 
- กลุ่มคำที่แสดงความขัดแย้ง ใช้ 
despite , in spite of (แม้ว่า) 
- กลุ่มคำที่ใช้บอกเหตุ ใช้ 
due to , owing to , as a result of , on account of , because of , thanks to (เพราะว่า , เนื่องจาก) 
- กลุ่มคำที่บอกตัวอย่าง ใช้ 
such as (เช่น) 
- กลุ่มคำที่ใช้บอกวัตถุประสงค์ ใช้ 
in order to , so as to (เพื่อที่จะ) 

ในตอนนี้แค่เกริ่นนำคร่าวๆ ก่อนนะคะ ในตอนหน้าเราจะมาเจาะลึกรายละเอียดกัน 
1. ตัวเชื่อมความ คือ ตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่าง ประโยค กับ ประโยค 
นี่จึงจะถือว่าเป็น Conjunction (ตัวเชื่อม) ของแท้ 
S + v + Conjunction + S + V ( ประโยค + ตัวเชื่อม + ประโยค) 
2. ตัวเชื่อมคำ คือ ตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่าง ประโยค กับ คำ หรือ คำ กับ คำ 
นี่เค้าเรียกว่า Preposition (บุพบท) นะตัว ต้องดูให้ดี 
S + V + Prep. + n./obj. / pro. / V.ing (ประโยค + บุพบท + คำนาม/กรรม/คำสรรพนาม/กิริยานาม) 



ตัวเชื่อมใช้เลือกใช้ตามความหมาย แบ่งเป็นกลุ่มๆ 
1. ตัวเชื่อมบอกความคล้อยตาม หรือ เสริมความเพิ่มเติมข้อมูล 
ม้กจะมีความหมายเหมือนคำว่า "and" แปลว่า "และ" เวลาใช้ต้องใช้หลักการคู่ขนาน (Parallelism)ด้วยทุกครั้ง คือ ถ้าหน้า and เป็น noun หลัง and ก็ต้องเป็น noun แน่นอน หรือ หน้า and เป็น adj. หลัง and ก็ต้องเป็น adj. 
ในกลุ่มนี้มี 
Besides (นอกจากนี้) 
Moreover (ยิ่งไปกว่านั้น) 
Furthermore (ยิ่งไปกว่านั้น) 
In addition (ยิ่งไปกว่านั้น) 
พวกนี้จะตามด้วยประโยค ( + S + V.) 
Not only ... but also (ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง ...) 
Both ... and ... (ทั้ง ... และ...) 
... and ... ( ... และ ...) 
... as well as ... ( ... และ ...) 
พวกนี้ใช้หลัก Parallelism 
ตัวอย่าง 
I don't want to go shopping;besides,I haven't got any money. 
ฉันไม่อยากไปช้อปเลย นอกจากนี้ฉันก็ยังไม่มีตังค์อีก 
เขียนได้อีกแบบนึง 
I don't want to go shopping. Besieds,I haven't got any money. 
Not only Mr.White but also Mr.Bean takes in charge of this job. 
ไม่เพียงแต่คุณไวท์เท่านั้นที่ควบคุมงานนี้แต่คุณบีนก็ด้วย 
Jenny works as a translator as well as a teacher. 
เจนนี่เธอเป็นทั้งนักแปลและครูด้วย 
หมายเหตุ 
Moreover , Furthermore , still ,yet , however และ nevertheless มีวิธีการเขียนอยู่ 2 แบบ เมื่อไปเจอการใช้ไม่เหมือนกันก็อย่าไปงงกับมัน 
S + V ; .......... , S + V 
S + V . .......... , S + V 

2. ประโยคบอกความขัดแย้ง กลุ่มนี้มีความหมายเหมือน "but" แปลว่า "แต่" 
While , Although , Though , Eventough , Even if , But 
Still, แต่กระนั้นก็ตาม 
Yet, แต่กระนั้นก็ตาม 
However, 
Nevertheless, 
Nonetheless, 
No matter what ไม่ว่าอะไรก็ตาม 
No matter how ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม 
+ S + V , S + V 
ตัวเชื่อมพวกนี้สามารถวางขึ้นต้นประโยคหรือกลางประโยคก็ได้ 



ตัวอย่าง 
Although he wore dirty clothes , he was a rich man. หรือ 
He was a rich man although he wore dirty clothes. 
ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผกสกปรกแต่เขาเป็นคนมีตังค์นะ 
He never listens no matter what I say. 
เขาไม่เคยรับฟังอะไรก็ตามที่ฉันพูดเลย 
แต่ถ้าหลังตัวเชื่อมเป็นกลุ่มคำเราต้องเปลี่ยนมาใช้ preposition ในกรณีที่ต้องการความขัดแย้งค่ะ 
S + V + despite / in spite of + N / V.ing 
เช่น Despite having just a little money , we enjoy our life. 
ถึงแม้จะมีตังค์เพียงน้อยนิด แต่พวกเราก็มีความสุขกันได้ 

3. ประโยคให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง 
Either ... or ....หรือ .... (ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) 
Neither .... nor .... ไม่ทั้ง .... และ ....(ไม่ทั้งคู่) 
ตัวอย่าง 
You can ask either Nid or Nee to go with you. 
คุณจะขอให้นิดหรือไม่ก็นีไปกับคุณก็ได้ 
Neither my mom nor I like Somtum. 
ทั้งแม่และฉันต่างก็ไม่กินส้มตำ. 
ปัฉฉิมลิขิต อย่าลืมหลัก Paralellism นะคะ 

4. ประโยคบอกเหตุ ทั้งหมดแปลว่า "เพราะ , เนื่องจาก" 
S + V (ผล) + because,since,for + S + V (เหตุ). 
ตัวอย่าง 
We have to work harder because/as/since/for we need more money. 
พวกเราจำเป็นต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมเพราะว่าอย่างได้เงินเยอะๆ 
เราสามารถย้ายตัวเชื่อมได้ เพราะมันสามารถวางขึ้นต้นประโยคหรือกลางประโยคก็ได้ 
แต่ต้องระวังให้ดีเวลาย้ายตัวเชื่อมนะคะ ต้องให้ตัวเชื่อมอยู่หน้าประโยคบอกเหตุเสมอ 
ย้ำ ตัวเชื่อมพวกนี้ต้องตามด้วยประโยคเสมอ เพราะเป็นตัวเชื่อมที่เชื่อมระหว่า ประโยค กับ ประโยค 
มาดูตัวเชื่อมที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคกับกลุ่มคำ กับบ้าง 
due to / owing to / because of / as a result of / on account of / thanks to + V.ing / Noun (สาเหตุ) 
ตัวอย่าง 
Owing to the bad weather,the match was cancelled. 
เนื่องจากสภาพอากาศที่แย่ การแข่งขันฟุตบอลจึงถูกยกเลิกไป 
Our flight was delayed on account of bad weather. 
เที่ยวบินพวกเราต้องถูกงดเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ 
ตัวเชื่อมสามารถวางไว้ต้นประโยคได้ แต่ต้องมีกลุ่มคำหรือคำตามหลังเสมอ

5. ประโยคบอกผล แปลว่า "ดังนั้น" 
So / Therefore, / Thus, / Hence, / Thereby, / Accordingly, / Consequently, + S + V. (ผล) 
ตัวอย่าง 
The traffic was very heavy and as a result I arrived late. 
เป็นเพราะการจราจรติดขัด (เหตุ)ฉัน จึงมาสาย (ผล) 
Our new home is very nice ; therefore,we are very happy. 

6. ประโยคบอกวัตถุประสงค์ แปลว่า "เพื่อที่ว่า" 
S + V + in order that / so that + S + Modal verb (can,could) + V.inf 
ตัวอย่าง 
We get up early in order that we could catch the bus. 
พวกเราตื่นเช้าเพื่อที่ว่าพวกเราจะไ้ด้ทันรถประจำทาง 
She wore glassed so that nobody could recognize her. 
เธอสวมใส่แว่นเพื่อที่ว่าจะไม่มีใครจำเธอได้ 
หรือ อาจจะใช้เชื่อมกับกลุ่มคำ ก็ได้ 
S + V + in order to / so as to + V.inf 
ตัวอย่าง 
She travelled by train in order to / so as to avoid the traffic. 
เธอเดินทางโดยรถไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจร (การจราจรอาจติดขัด)

การใช้ The


การใช้ THE นำหน้าคำนามอะไรได้บ้าง

ารใช้ The เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับผู้เรียนไม่น้อย เพราะเราได้เรียนรู้ไปว่า a นำหน้านามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ an นำหน้านามที่ขึ้นต้นด้วยสระ แล้ว the จะนำหน้าอะไร ขอตอบว่า นำหน้าได้ทั้งคู่ที่กล่าวมานั่นแหละ รวมทั้งนามนับไม่ได้ก็ใช้ได้เช่นกัน
อ้าวแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรละว่าจะใช้ตอนไหน ตรงนี้ขอแนะนำว่า เวลาที่เราอ่านบทความให้เราสังเกตเอาเองว่าเขาใช้ The กันอย่างไร ในเบื้องต้นของการเรียนไวยากรณ์คือ เราทำตัวเป็นผู้อ่านแล้วคอยสังเกตเอาครับ และไม่ต้องพะวงกับไวยากรณ์จนเกินไป เพราะขนาดเราเป็นคนไทยแท้ๆ ก็ยังหลงๆ ลืมๆ กับภาษาของเราเหมือนกัน ค่อยๆเป็นไปแล้วกัน
การใช้ The ค่อนข้างมีกฎกติกาเยอะเสียเหลือเกิน แต่ประเด็นหลักๆ ที่จะให้จดจำก็มีแค่ไม่กี่ข้อหรอกครับ
กฎการใช้ The นำหน้านามให้จำให้ได้ข้อเดียวก่อน คือ
  • นำหน้านามที่รู้กันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง (คนอื่นไม่รู้ด้วยไม่เป็นไร)
คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนะครับ มาดูตัวอย่างกันเลย
หมาอยู่ไหนลูก
Where is the dog, honey?
แม่กับลูกคุยกันสองคน และรู้กันดีว่า หมาตัวไหน (หมาของเราไง)
แต่ถ้าคุณแม่พูดว่า Where is a dog? หมาอยู่ไหนน้อ (แม่ลูกกางแ่ผ่นภาพสัตว์โลกน่ารักแล้วให้ลูกชี้ภาพหมา)
ปิดประตูด้วยโจ
Close the door, Jo.
พานายโจมาเล่นบ้านเรา และรู้ว่าประตูบานไหน (บานที่นายเข้ามานั่นแหละ)
แต่ถ้าพูดว่า Close a door, Jo. (มีประตูหลายบาน นายจะปิดบานไหนก็ได้หนึ่งบาน และไม่เคยเห็นใครพูดหรอกแบบนี้)
The coffee is very hot. Don’t touch it.
กาแฟร้อนมากเลย อย่าจับมันนะ (กาแฟไหน ก็กาแฟที่วางอยู่หน้าคุณนั่นแหละ ไม่ได้หมายความถึงกาแฟที่ไหนเลย)
ส่วนคำนามอื่นๆที่ใช้ The ได้แก่ (เอาเฉพาะสำคัญนะครับ)
  • นามที่ระบุเจาะจงลงไป ว่าเป็นอย่างไร มาจากไหน อยู่ที่ไหน สังเกตเอาครับว่าจะมีคำขยายเข้ามา ส่วนใหญ่เป็นคำบุรพบทครับ เช่น
The tea in this pot is cold. ชาในหม้อนี้เย็นแล้ว (เฉพาะที่อยู่ในหม้อนี้เท่านั้น)
Don’t eat the fish in this bowl. It’s mine. อย่ากินปลาในชามใบนี้ มันเป็นของฉัน (ฉันหวงเฉพาะปลาในถ้วยใบนี้)
The water from that company is very dirty. น้ำจากบริษัทนั้น สกปรกมาก(เฉพาะจากบริษัทนั้น)
  • The นำหน้านามที่มีพียงอันเดียวในโลก ทั้งนี้หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้นก็ได้ เช่น
The sun  พระอาทิตย์
The moon พระัจันทร์
The world โลก
The Earth ดาวโลก (รวมถึงดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย มีอะไรบ้างหาเอาเอง)

*ธรรมชาติที่เป็นน้ำ (ลำคลอง แม่น้ำ อ่าว ทะเล มหาสมุทร)
The Champlain Canal คลองแชมเพลน
The Chao Phraya River แม่น้ำเจ้าพระยา
The Persian Gulf  อ่าวเปอร์เซีย
The South China Sea ทะเลจีนใต้
The Pacific Ocean มหาสมุทรแปซิฟิก
*ธรรมชาติที่เป็นดิน หรืออยู่บนดิน (ทะเลทราย ป่าไม้ เทือกเขา หมู่เกาะ)
The Sahara Dessert ทะิเลทรายซาฮาร่า
The Amazon Forest ป่าอะเมซอน
The Rockies     เทือกเขาร็อกกี้
The Bahamas หมู่เกาะบาฮามาส
*ยกเว้น ภูเขา และเกาะที่มีเพียงหนึ่งเดียว
Mount Fuji เขาฟูจิ
Samui Island เกาะสมุย
*สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น (เช่น ตึก อาคาร สะพาน และสิ่งก่อสร้างทั่วไป )
The White House ทำเนียบขาว
The Golden Gate Bridge สะพานโกลเดนเกต
The Eiffel หอไอเฟล
The Great Wall of China กำแพงเมืองจีน
The pyramids at Giza ปีรามิดแห่งเมืองกีซ่า
The Taj Mahal ทัชมาฮาล
  • The นำหน้าสถานที่สำคัญๆ ในเมือง เช่น ตลาด ธนาคาร โรงพยาบาล สนามบิน สถานีรถไฟ สถานีขนส่งผู้โดยสาร 
    โรงหนัง โรงละคร สถานีตำรวจ ที่ทำการไปรษณีย์ เป็นต้น มีอะไรอีกบ้างค่อยสังเกตเอา
the market
the bank
the hospital
the airport
the  railway station
the bus station
the theater
the police station
the post office
Jo, where’s Jenny?
She’s gone to the bank.
  • The นำหน้า ชื่อบริษัท องค์กร ห้างร้านต่างๆ
The Coca-Cola Company บริษัทโคคา โคล่า
The United Nations องค์การสหประชาชาติ
*ยกเว้นชื่อโรงเรียน วัด โรงเีรียน มหาวิทยาลัย
Benchama Maharaj School โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
Wat Arun วัดอรุณ
Chiang Mai University มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • The นำหน้าคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด
The greatest man ชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
The smallest cat แมวตัวที่เล็กที่สุด
The richest woman หญิงที่รวยที่สุด
  • The นำหน้าลำดับที่
The first boy เด็กชายคนที่หนึ่ง
The second year ปีที่สอง
The third car รถยนต์คันที่สาม
……………….
  • The นำหน้าคำนามที่กล่าวซ้ำครั้งที่สองเป็นต้นไป
I saw a man and a woman at the market yesterday. The man was tall but the woman was short. ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตลาดเมื่อวานนี้ ผู้ชายตัวสูง ส่วนผู้หญิงตัวเตี้ย
ยังไม่หมดนะครับ แต่เบื้องต้นเอาแค่นี้ก็เก่งแล้ว ที่เหลือค่อยๆสังเกตเอาเวลาอ่านหนังสือแล้วกันนะครับ


Adjectives

Adjectives ( articles -a/an )
 
 Articles เป็นคำคุณศัพท์อย่างหนึ่ง   การเรียน Articles ต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างสับสนสำหรับผู้เรียนซึ่งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรือเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาต่างประเทศ ( English as a Foreign Language )  เนื่องจากเป็นเรื่องที่มักจะตัดสินใจยากว่าอะไรเป็นนามนับได้ และอะไรเป็นนามนับไม่ได้  บางครั้งคำเดียวกันสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์มาก และขณะเดียวกัน ก็มีข้อยกเว้นมากเช่นกัน ต้องอาศัยความจำและประสบการณ์ ในการใช้ภาษา เป็นเวลานานจึงจะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง
หลักการใช้ article นำหน้านาม คือ
เมื่อกล่าวเป็นการทั่วไปนามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำหน้าเสมอ
 นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใดๆ
เมื่อกล่าวเป็นการชี้เฉพาะจะต้องใช้ the นำหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นนามนับได้หรือไม่ได้
Articles แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
  • Indefinite Article ได้แก่   และ an ใช้นำหน้านามนับได้ ( Countable Nouns ) เอกพจน์ทั่วๆไป ( Singular )
  • Definite Article ได้แก่  the  ซึ่งใช้นำหน้าคำนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ทั้งรูปเอกพจน์ Singular ) และพหูพจน์ ( Plural ) เพื่อให้นามนั้นมีความหมายเฉพาะเจาะจง
การใช้ Indefinite Article : a, an
1. ใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและมีความหมายทั่วไปในความหมาย หนึ่ง โดยไม่ต้องการเน้นจำนวน เช่น   a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop  เช่น
He is reading a newspaper.  เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์
2. ใช้ an นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ขึ้นต้นด้วยสระ และมีความหมายทั่วไป เช่น an orange, an umbrella, an hour, an article
It's raining.You will need an umbrella .ฝนกำลังตก คุณจะต้องมีร่มกันฝน.
หมายเหตุ
  • ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นขึ้นต้นด้วยสระ   แต่ว่าออกเสียงเป็นพยัญชนะ ให้ใช้ a   เช่น a uniform, a university, a European, a eucalyptus ( ต้นยูคาลิบตัส ), a utensil, a union, a useful, a unit
  • ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นมีคุณศัพท์นำหน้าขยาย   ให้ดูดังนี้
       -หากคำคุณศัพท์นั้นขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะก็ให้ใช้ a  เช่น  a sweet orange, a big umbrella
       -หากขึ้นต้นด้วย เสียงสระให้ใช้ an เช่น   an old city, an ugly woman  เป็นต้น
  • ถ้าคำนามนั้นขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นสระ   หรือมี adjective ที่ขึ้นต้นด้วยสระมาขยายข้างหน้านามนั้นให้ใช้ an เช่น
       -ออกเสียงเป็นสระ เช่น an hour, an heir, an honor
       -มีคุณศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ เช่น an important person
3. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ เมื่อกล่าวถึงคำนามนั้นเป็นครั้งแรก เช่น
There is a shop on the corner.   มีร้านอยู่ 1 ร้านที่หัวมุม ( ใช้ a เพราะเป็นการพูดถึงครั้งแรก )
4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ่ม หมู่เหล่า เช่น
A cow is an animal. วัวเป็นสัตว์ขนิดหนึ่ง
= Cows are animals.วัวเป็นสัตว์
An owl can see in the dark. นกเค้าแมวมองเห็นได้ในความมืด
5. ใช้ a, an ในการบอกอัตราต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น
She runs three miles a day. เธอวิ่งวันละ 10 ไมล์ ( เป็นกิจวัตร )
I go to the cinema about once month. ฉันไปดูภาพยนต์ประมาณเดือนละครั้ง
6. ใช้ a, an หน้าชื่อเฉพาะของผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักทั่วไป เพราะมีคุณสมบัติ ความสามารถ หรืออุปนิสัยเหมือนผู้ที่ต้องการเปรียบเทียบ
He is an Einstein. เขาเป็นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์
He is a Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่ง ( เหมือนสุนทรภู่) ของโรงเรียนเรา
     หมายเหตุ แต่ถ้าใช้ the แทน a หมายความว่าคนเช่นนั้นมีคนเดียว
He is the Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่งของโรงเรียนเรา ( เพียงคนเดียว)
He is the Khun Phaen of our family.  เขาเป็นคนเจ้าชู้( เหมือนขุนแผน)คนเดียวในครอบครัวเรา
7. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่เป็นสำนวนในประโยคอุทาน เช่น
What a pity !น่าสงสารจัง
What a shame ! น่าอายจัง !
8. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่กล่าวถึงการเป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
My father is a teacher.  อาชีพ
Robert is an American.  เชื้อชาติ
John is a Catholic.   ศาสนา
9. ใช้ a, an แทนจำนวน หนึ่งหน้าคำนามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการนับจำนวนหรือแสดงจำนวนมาก
a dozen of eggs.ไข่จำนวน 1 โหล
a gross of pensปากกาจำนวน 12 โหล
a lot of peopleประชาชนจำนวนมาก
a number of friendsเพื่อนจำนวนมาก
10. ใช้ a, an นำหน้านามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย  โครงสร้างคือ have + a+ อาการเจ็บป่วย
have a headache ( ปวดหัว )have a pain in the chest ( เจ็บหน้าอก )
have a stomachache ( ปวดท้อง )have a cold ( เป็นหวัด )
have a toothache ( ไม่มี a ก็ได้ ) ( ปวดฟัน )have a fever ( เป็นไข้ )
ยกเว้นถ้าเป็นชื่อโรค ไม่ใช้ a, an เช่น
rheumatism( โรคปวดข้อ )diabetes ( เบาหวาน )
influenza (ไข้หวัดใหญ )่cancer ( มะเร็ง )
เช่น
He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันที่กลางหลัง
He had a pain in the neck.  เขามีอาการปวดคอ
She is suffering from rheumatism.  เธอกำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคปวดข้อ
11. ใช้ a,an ในสำนวนที่มีคำต่อไปนี้นำหน้าคือ    such, quite, rather, many
We didn't expect such a hot day.  เราไม่ได้คาดว่ามันจะเป็นวันที่อากาศร้อนเช่นนี้
He is quite a good boy. เขาเป็นเด็กดีทีดียว
It was rather a short trip. มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสั้น
Many a place in Thailand impressed them. สถานที่หลายแห่งในประเทศไทยประทับใจพวกเขามาก
12. ใช้ a, an หลังโครงสร้างต่อไปนี้
so + adjective+a + นามนับได้ เอกพจน์ ( such a+ นาม ) เช่น
      We didn't expect so great a crowd.  .เราไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายอย่างนี้

too + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์
      This is too hard a job for him.  นี่เป็นงานหนักเกินไปสำหรับเขา

however + adjective + a + นามนับได้เอกพจน
      
However nice a girl she is, he never like her. ไม่ว่าเธอจะเป็นคนน่ารักอย่างเขาก็ไม่ชอบเธอ

as + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์+ as
      
She is as good a student as you are.เธอเป็นนักเรียนที่ดีเช่นเดียวกับคุณ
13. สำนวนในภาษาอังกฤษที่ใช้ a,an
all of a suddenทันใดนั้นin a hurry/rushอย่างเร่งรีบ
as a matter of factอันที่จริงแล้วin a good/bad moodอารมณ์ดี/เสีย
as a ruleตามปกติ โดยทั่วไปkeep an eye onเฝ้าดู
do a favorช่วยเหลือmake a decisionตัดสินใจ
earn a livingหาเลี้ยงชีพmake a livingหาเลี้ยงชีพ
give an ideaให้ความคิดmake a mistakeทำผิด
go for a walkเดินเล่นmake noiseทำเสียงดัง
go for rideนั่งรถเล่นmake a speechกล่าวสุนทรพจน์
have a good timeสนุกสนานmake a wishอธิษฐาน
have a hair cutตัดผมmake a fool ofทำให้ขายหน้า
it's a shameน่าขายหน้าmake a requestขอร้อง
it's a pity thatน่าเสียดาย,น่าสงสารtell a lie, tell liesโกหก
take a tripเดินทางtake look atมอง ดู
take a pictureถ่ายรูปkeep secretเก็บเป็นความลับ
take a seatนั่งin position toอยู่ในฐานะที่จะ
with a view toเพื่อจะทำให้on large scaleอย่างมาก
on an/the averageโดยเฉลี่ยmake a remarkให้ข้อสังเกต
couple ofสองสามplay a joke onล้อเล่น
การใช้ a/an และ one
ที่ผ่านมาเป็นการใช้ a/an กับนามนับได้ในความหมายของสิ่งเดียว ( singular ) บางครั้งที่เราต้องการเน้นตัวเลข สามารถใช้ one กับนามนับได้เอกพจน์ เช่น
We'll be in Australia for one ( or a ) year. เราจะอยู่ในออสเตรเลีย 1 ปี
She scored one ( or a ) hundred and eighty points.  เธอได้คะแนน 168 คะแนน
จะใช้ one เท่านั้นเมื่อ
  • ต้องการที่จะเน้นว่าสิ่งที่กล่าวถึง มี/เป็น เพียง 1 ไม่ใช่ 2,3,4...... เช่น
    Do you want one sandwich or two? คุณต้องการแซนด์วิช 1 หรือ 2 อัน
    Are you staying just one night ? คุณจะพักค้างคืนวันเดียวหรือ
  • ใช้ one ในรูปแบบ one ...other / another เช่น
    Close one eye, and then the other. ปิดตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงปิดอีกข้าง
    Bees carry pollen from one plant to another. ผึ้งนำเกสรดอกไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้น